2554-07-10

MY IDOIL

บุคคลที่ข้าพเจ้า ชื่นชอบ ในสายวิชาการ


บุคคลที่ฉันชื่นชอบในสายวิชาการ คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ชื่นชอบ : เพราะท่านมีแนวคิดที่แตกต่างจากผู้ที่มีความรู้ในระดับเดียวกับท่าน  บางคนอาจคิดว่า ตนเองฉลาด ควรใช้ความฉลาดในการเก็บเกี่ยวเงินทองให้มากที่สุด  แต่ท่านไม่ใช่คนแบบนั้น  ท่านใช้ความรู้ที่มีมาสร้างโรงเรียน  เพื่อบ่มเพาะคนรุ่นใหม่  โรงเรียนที่ท่านสร้างขึ้น ชื่อว่า " สัตยไส " เป็นโรงเรียนที่สอนให้เด็กเป็นคนดี และคนเก่ง แต่ไม่ได้เน้นสอนเฉพาะวิชาการเท่านั้น  ยังมีการเรียนการสอน วิธีนั่งสมาธิ  การฝึกจิต  ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป  ที่วัดค่าของเด็กจากผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย  และแทบจะไม่มีการเรียนการสอนวิชาจริยธรรมเลย แต่ถึงโรงเรียนนี้จะเน้นการสอนจริยธรรมและสมาธิเป็นหลักก็จริง  แต่เด็กนักเรียนที่นี่ก็สอบเข้ามหาวิยาลัยได้ครบ 100% ซึ่งหาได้ยากมากจากโรงเรียนส่วนใหญ่   นอกจากนั้นท่านเป็นผู้คิดค้นระบบควบคุมการลงจอดบนดาวอังคารที่ต่างชาติให้การยอมรับ ท่านนำความฉลาดที่ท่านมีอยู่ทั้งหมด มาสั่งสอนให้เด็กมีหลักคิด วิธีการดำเนินชีวิต  รวมทั้งปลูกฝังให้เด็กช่วยกันลดโลกร้อน  จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานี้  ทำให้ฉันชื่นชอบท่านเป็นอย่างมาก

                  

ชื่อ : อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ชื่อเล่น"เอ๊ะ"
เกิดเมื่อ : 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483  ที่ โรงพยาบาล วชิรพยาบาล กรุงเทพมหานคร
บิดาหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย
มารดานางเฉลิมขวัญ ชุมสาย ณ อยุธยา (ธิดา พระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคาย
พี่น้อง(รวมตัวเอง)
        1.นายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา
        2.นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
        3.นางสุชาดา (ชุมสาย ณ อยุธยา) สถิตพิทยายุทธ์ (ถึงแก่กรรม)
        4.นางสาวปาริชาติ ชุมสาย ณ อยุธยา 
คู่สมรส : วรลักษณ์ ชุมสาย ณ อยุธยา









ประวัติการศึกษา
 อาจอง ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จนจบชั้น ป.4 แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ 6 เดือน แล้วย้ายตามบิดาไปอยู่ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ศึกษาที่ Lycée Janson de Sailly จนอายุ 12 ปี ย้ายไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ที่ Enfield Grammar School และ Haileybury and Imperial Service College
อาจอง ศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่ Trinity College มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระหว่างศึกษาที่นี่ เริ่มมีความสนใจในพระพุทธศาสนา และเริ่มฝึกหัดการนั่งสมาธิ อาจองจบปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้า โดยมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับคลื่นไมโครเวฟ และศึกษาต่อปริญญาเอกจนจบในปี พ.ศ. 2509 แล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทย เป็นอาจารย์สอนที่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึง พ.ศ. 2516 จึงลาออกมาทำธุรกิจ
ประวัติการทำงาน
๐  อาจารย์ประจำแผนกวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๐ กรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๐ ผู้เชี่ยวชาญโครงการจรวดเพื่อใช้ในกิจการฝนเทียม สภาวิจัยแห่งชาติ
๐ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส อำเภอลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนระดับประถม-มัธยม ทั้งครูและนักเรียนใช้วิถีชีวิตแบบมังสวิรัติโดยตลอด  เป็นผู้สนใจด้านพลังจิต-สมาธิ และการประยุกต์พลังจิตใช้ในชีวิตประจำวัน และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ 
๐ เป็นผู้ออกแบบประดิษฐ์ชิ้นส่วนยานไวกิ้ง
งานด้านการเมือง
๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร 3 สมัย
๐ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
๐ รองประธานกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร
๐ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2549
ผลงาน
๐ ได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์จากนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ
๐ ร่วมโครงการอวกาศไวกิ้ง ขององค์การนาซ่า ประเทศอเมริกา ในการออกแบบและสร้างอุปกรณ์ควบคุมการร่อนลงของยานอวกาศไวกิ้ง 2 ลำลงสู่พื้นดาวอังคาร
๐ นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เมื่อ พ.ศ. 2527
๐ ครูผู้สอนโรงเรียนวิถีพุทธดีเด่น ประจำปี 2547 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
บทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯ เมื่อ 16 ตุลาคม 2548 เกี่ยวกับอนาคตของเมืองไทยและโลกในอีก 12 ปีข้างหน้า จะพบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ มีการสูญเสียไปบ้างพอสมควร แต่ก็ได้ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมกลับคืนมา ดังนี้


เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้ามนุษย์เริ่มวางแผนที่จะไปสำรวจดาวอังคาร แล้วก็เริ่มส่งยานอวกาศ ออกไปสำรวจจนได้ข้อมูลเพียงพอ เพราะที่นั่น มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกันกับโลก คือ มีอากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางร้ายกับร่างกายของมนุษย์ แล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำ มีแสงแดด ต้นไม้ก็จะโต เพราะต้นไม้จะเป็นตัวดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อคายออกซิเจนออกมา ทำให้มีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลก
ดูจากหลักฐานที่เราได้มา จากก้อนหิน หรือจากการสำรวจ ทำให้เราพบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ดาวอังคารเคยถูกน้ำท่วม ถูกน้ำซัดผ่านบริเวณผิวขอบของดาว ก็แสดงว่า ที่นั่นต้องมีน้ำเยอะ แม้ว่าแสงแดดจะน้อยกว่าโลก จนทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -35 องศาเซลเซียส แต่ก็ถือว่า มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด.......แต่การที่มนุษย์ จะขึ้นไปอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ ก่อนอื่น คือ เราจะต้องสร้างเรือนกระจกครอบขึ้นมา เพื่อเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดออกซิเจนหนาแน่นขึ้น มนุษย์ถึงจะอยู่ได้ เดินไปเดินมาได้ โดยไม่ต้องแบกถังออกซิเจน หรือสวมชุดมนุษย์อวกาศ ซึ่งต่างจากดาวดวงอื่น อย่างดวงจันทร์ ดาวเสาร์ หรือดาวพฤหัส เพราะบนนั้น ถึงจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำ จนอากาศหนาวมาก จนกลายเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนนั้นได้......

.....
แล้วความจริง แผนการสำรวจดาวอังคารของนาซาก็เริ่มต้นโครงการนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เพราะเขาคิดว่า ต่อไปประชากรบนโลกเราก็คงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับโลกของเรา เพราะเมื่อจำนวนมนุษย์มากเกินไป อาหารการกินก็อาจจะไม่พอ น้ำก็ไม่พอ พลังงานก็ไม่พอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ก็จะไม่พอต่อความต้องการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น การอพยพเอาพลเมืองโลกออกไปบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ และสามารถทำได้ ซึ่งการอพยพออกไปในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร หรือคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ ?

.....
แต่แน่นอนว่า นอกจากการแสดงตัวในฐานะที่เป็นผู้นำแล้ว การขึ้นไปบนดาวอังคาร ยังหมายถึง การขยับขยายในเรื่องอุตสาหกรรมบนดาวอังคาร ซึ่งในหลายประเทศ ต่างก็มีความคิดวางแผนเกี่ยวกับตรงนี้เอาไว้แล้ว และก็อาจจะมีการตกลงแบ่งอาณาเขตกันเอาไว้ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักยภาพเพียงพอ อย่าง อเมริกา หรือญี่ปุ่น เพราะว่าต่างฝ่ายก็คิดกันไว้ว่า ถ้าตัวเองไปถึงตรงนั้นได้ก่อน ก็จะมีสิทธิในการครอบครองได้ก่อน.......

....
แต่การที่เขาไปสำรวจดาวอังคาร หรือการที่เตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลกนั่นก็ไม่ใช่หมายความว่า โลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่เขาทำนายกัน เพียงแต่ว่า ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม.....

.....
ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้างที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง....

.......
และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย......

.......
ผมคาดว่า อีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือ ธรรมชาติ เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....ซึ่งแต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นสึนามิขึ้น คนทั่วโลก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง.......


อ้างอิงจาก :
http://education.kapook.com/view16598.html?p=2
http://th.wikipedia.org/wiki/อาจอง_ชุมสาย_ณ_อยุธยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น